แฟนเดย์ One day -spoiler alert-

ตัวละคร

เด่นชัย 

เต๋อ เก็บรายละเอียดของตัวละครได้ดีมาก บุคคลิกหลายๆ อย่างที่เคยเจอกับคนจริงๆ ถูกเก็บมาใส่ในตัวละครได้ชัดเจน ทั้งการขยิบตาแรงๆ การพูดจาติดๆ ขัดๆ หรือท่าเดินที่เหมือนนกเพนกวิน เสียอยู่ตรงที่ผมติดภาพเต๋อไปแล้ว ทำให้ผมยังไม่อินกับตัวละครนี้ ยังรู้ตัวอยู่ว่าบุคลิกที่เห็นนั้นเป็นการแสดงที่ดีมาก ไม่ได้เชื่อว่าเต๋อคือเด่น

เด่นชัยคือคนที่มีเพื่อนเป็นคอมพิวเตอร์ เพราะมันตรงไปตรงมา สั่งยังไงได้อย่างงั้น แถม undo ได้ด้วย นั่นอาจทำให้เขาขาดทักษะสำคัญในการปฏิสัมพันธ์กับคนจริงๆ บ่อยครั้งที่เขาโพล่งคำศัพท์เฉพาะทางออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวว่า คนฟังไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาอธิบาย เขาคิดอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้นตรงๆ (ดูได้จากฉากที่โต้ตอบกับเด็กผู้หญิงที่เดินมาขอบคุณที่เขาไปช่วยทำให้คอมทำงานได้เร็วขึ้น แต่เขากลับพูดกลับไปตามความคิดว่า น้องควรจะทำได้เองนะ เรื่องง่ายๆ เด็กๆ ก็ทำได้) เขาไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องร้ายแรงอะไร หนำซ้ำยังอยากให้คนอื่นๆ แสดงความคิดเห็นออกมาตรงๆ เขาเป็นคนไม่มีชั้นเชิงอะไร ตุกติกไม่เป็น โกหกไม่เก่ง (จากฉากที่เริ่มโกหกว่าเป็นแฟนนุ้ย จนต้องวิ่งไปอ้วกแตก และฉากที่รับคำนุ้ยว่าวันพรุ่งนี้ หลังจากนุ้ยลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้น เขาจะเดินไปเล่าให้นุ้ยฟัง แต่นุ้ยก็จับได้ทันทีว่าเขาโกหก)

เด่นชัยรู้ตัวว่าในสายตาคนอื่น เขาไม่มีตัวตน ไม่มีใครจำชื่อเขาได้ ไม่มีใครเรียกชื่อเขา (ในหนังมีแค่สองคนที่เรียกชื่อเขาคือนางเอกและเพื่อนอ้วนในแผนก) เขารู้สึกน้อยใจอยู่ แต่ก็เป็นเพียงการบ่นกับตัวเอง และก็ไม่ได้คิดจะปรับปรุงอะไรเพื่อแก้ไขสถานการณ์แบบนี้ ราวกับว่าจะยอมรับในธรรมชาติของมัน จนวันนึงที่เขารู้สึกมีตัวคนขึ้นมา เพียงเพราะใครคนนึงที่เพิ่งรู้จักกัน เรียกเขาด้วยชื่อของเขา แถมนามสกุลให้ด้วย (แม้ว่าจะเป็นการอ่านชื่อจากป้ายชื่อที่ห้อยคออยู่ก็ตาม) ซึ่งใครคนนั้นก็คือ นุ้ย เด็กใหม่ในแผนก marketing

เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้เด่น สนใจนุ้ย และคอยตามดูอยู่ห่างๆ จากความสนใจกลายเป็นความคลั่งไคล้ ที่ทำให้การกระทำของเขา อยู่ในระดับที่คนอื่นจะคิดว่าเขาโรคจิตก็ไม่เกินไปนัก เขาเก็บข้อมูลของนุ้ยทุกอย่าง ทั้งของโปรด (ไข่หอยเม่นกินกับวาซาบิเยอะๆ) สิ่งที่ชอบ (เทศกาลน้ำแข็ง, ชุดตุ๊กตาที่วางขอบแก้ว, ชอบเพลงเก่า) พฤติกรรมประจำ (มาสายเพราะหาที่จอดรถไม่ได้, เล่นเกมทำสวนทำไร่ใน facebook ก่อนเริ่มงาน, โต๊ะทำงานรก) ลามไปจนถึงประวัติส่วนตัวก่อนจะรู้จักกันด้วยซ้ำ (มีแฟนมาแล้วกี่คน รถคันแรกรุ่นไหน สีอะไร)

ด้วยความที่เขามีข้อมูลอยู่เยอะมาก บวกกับความที่เป็นคนไม่ถนัดในการปฏิสัมพันธ์กับคน การแสดงออกของเขา จึงออกมาในรูปแบบของการแอบทำ แอบช่วยเหลือ โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวมาก่อน ทั้งการมาจองที่จอดรถให้ การแฮค facebook แล้วเข้าไปเก็บ item ในเกมให้ การหาชื่อเพลงเก่าที่นุ้ยชอบแต่ไม่รู้จักชื่อแถมยังเอาไฟล์มาใส่ในเครื่องให้ คอยมาจัดโต๊ะให้เรียบร้อยหลังเลิกงาน การกระทำทั้งหมดทำไปด้วยความหวังดี

เด่นชัยไม่ใช่คนโรคจิต เขาเพียงแต่รู้สึกดีและหวังดีกับนุ้ย และอยากช่วยเหลือทุกๆ อย่าง โดยไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทน เขาจึงแอบช่วยเหลือโดยไม่มีใครรู้ และที่สำคัญคือ เขาเองก็หวังให้นุ้นสมหวังกับความรักกับท๊อป (จากฉากที่เขาบอกว่า เขาอยากให้เวทมนต์ของท๊อปครั้งนั้น เป็นของจริง)

เด่นชัยเฝ้ามองนุ้ยมาตลอด เขารับรู้เรื่องความรักระหว่างนุ้ยกับท๊อป เขาสังเกตุเห็นความอ่อนแอของนุ้ยในช่วงเวลาที่ท๊อปต้องอยู่กับครอบครัวตัวจริง เขารู้สึกสงสารนุ้ยมาก จนเขาเข้าไปเตือน และตัดสินใจเฉลยความลับ ว่าเขาคอยช่วยเหลือนุ้ยอย่างไรบ้าง ด้วยการที่เขาขาดทักษะของมนุษยสัมพันธ์ ทำให้เขาเลือกจังหวะที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง นุ้ยในตอนนั้นไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมารับฟังคำตักเตือนของใคร และโดยเฉพาะกับคนที่ไม่ได้สนิทด้วยอย่างเด่น หนำซ้ำยังมารับรู้ว่าตัวเองถูกสะกดรอยอยู่ตลอดเวลา นั่นทำให้ไม่เข้าใจในความหวังดีและกลายเป็นความหวาดระแวงในตัวเด่น

นิสัยเดิมของเด่นชัย ไม่ได้แสดงออกว่าสนใจอะไรเป็นพิเศษ แต่พอเขาเริ่มคลั่งไคล้นุ้ย ทำให้ความสนใจของเขาขยายขอบเขตมาที่สิ่งที่นุ้ยสนใจด้วย (แน่นอนว่า เขาไม่ได้สนใจเรื่องนั้นจริงๆ แต่เขาสนใจเพราะนุ้ยสนใจ) มันทำให้เขารู้จักร้านซูชิชื่อดัง รู้ว่าไข่หอยเม่นคืออัณฑะของหอยเม่น ทำให้เขารู้จักเทศกาลน้ำแข็ง นุ้ยทำให้โลกของเด่นกว้างขึ้น

ระหว่างที่เด่นโกหกนุ้ยอยู่นั้น มีหลายๆ เหตุการณ์ที่ทำให้เราลุ้นว่าความจะแตกหรือไม่ ซึ่งจุดท้าย ความก็มาแตกออกจากปากของเขาเอง ด้วยความที่พื้นเพไม่ใช่คนนิสัยโกหกเก่ง เสแสร้งไม่เป็น เมื่อสถานการณ์มันเริ่มเลยเถิด เขาเลยปลดปล่อยความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ออกมา ผลคือเขาโดนนุ้ยไล่ตะเพิดออกมาในทันที

ผมรู้สึกว่า เด่นชัยมีพัฒนาการที่ผิดธรรมชาติไปหน่อย เพราะจากช่วงแรกของเรื่อง เขามีนิสัยที่ไม่น่าคบหาอย่างยิ่ง คุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง พูดจาภาษาคอมพิวเตอร์ แถมยังดูแคลนไมตรีจากคนแปลกหน้า (น้องผู้หญิงที่มาขอบคุณ) มันคือการแสดงว่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง คือไม่ได้มองเหตุการณ์ในมุมของคนอื่นเลย ในโลกความจริง คุณอาจจะไม่อยากยุ่งกับคนแบบนี้ก็ได้ แต่เด่นชัยในตอนท้ายเรื่อง กลายเป็นคนที่ดูอบอุ่น การตัดสินใจของเขาทั้งหมด มีนุ้ยเป็นตัวตั้ง เขาไม่ได้คิดถึงตัวเองเลย สิ่งที่เขาคิดถึงมีแค่ทำอย่างไรให้นุ้ยมีความสุข (ขนาดขอพรวันเกิด เขายังขอเพื่อความต้องการของนุ้ย) มันทำให้ผมรู้สึกว่าเด่นชัยเท่ห์เกินไปในช่วงท้าย ความเนิร์ด ความ geek มันไม่เหลือเค้าอยู่ในตัวละครตัวนี้แล้ว จริงๆ การกระทำของเด่นในตอนท้าย ก็ไม่ได้เกินเลยไปนัก เพราะหนังก็ปูมาแต่แรก ว่าเขาสามารถทำเพื่อนุ้ยได้ แม้จะไม่มีใครรับรู้ก็ตาม แต่ผมว่าในช่วงท้าย character ของความเนิร์ด ความ geek มันหายไปจากเด่นชัย จนทำให้รู้สึกว่าเป็นคนละคน

นุ้ย


พนักงานใหม่ของทีม marketing บุคลิกน่ารัก กระฉับกระเฉง ร่าเริงสดใส มีน้ำใจกับผู้อื่น เธอคิดว่าป้าแม่บ้านมาจัดโต๊ะให้ ก็เลยซื้อขนมไปฝาก หรือการที่เธอรู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดเด่น ทั้งๆ ที่เธอจำเขาไม่ได้ และเพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงวัน แต่ก็ยังมีเค้กวันเกิดมาเซอร์ไพรส์

นุ้ยเป็นคนฉลาด หัวไว เห็นได้จากฉากที่เธอความจำระยะสั้นเสื่อม และไม่เชื่อว่าเด่น (ในชื่อท๊อป) คือแฟนตัวเอง การวิเคราะห์สถานการณ์ ความเป็นไปได้ต่างๆ ขอดูหลักฐาน ไล่ต้อนเด่นจนเกือบจนมุมอยู่หลายครั้ง โทรศัพท์ไปเช็คข้อมูลกับแม่ หรืออย่างฉากที่นุ้ยรู้ความจริงว่าเด่นโกหก หลังจากไล่ตะเพิดให้เด่นออกไป ก็นั่งค้นหาความจริงจากเงาสะท้อนในแว่นกันแดดที่อยู่ในรูปภาพ ไล่ดูประวัติการโทรในโทรศัพท์ตัวเอง โทรศัพท์ไปหาท๊อปถามหาความจริง แต่ท๊อปที่กำลังอยู่กับครอบครัวก็ต้องคุยแบบลับๆ ล่อๆ และไม่นานนัก นุ้ยก็ปะติดปะต่อเรื่องราวได้เกือบทั้งหมด ส่วนที่เหลืออยู่เธอออกมาตามหาเด่นและถามความจริงจากปากเด่น

นุ้ยก็เหมือนคนทั่วไป ที่รักความชอบธรรม และมีจริยธรรม เธอรู้สึกผิดมากที่รู้ว่า ตัวเองอาจจะเป็นคนทำลายครอบครัวคนอื่น และเธอก็ไม่อยากจะเชื่อ ว่าตัวเองจะมาอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเป็นเมียน้อยคนอื่น แถมยังคิดสั้นเพราะผิดหวังจากคนที่มีครอบครัวอยู่แล้ว เธอตัดสินใจส่งข้อความไปบอกเลิกท๊อปโดยไม่สนใจความรู้สึกของนุ้ยคนเดิมเลย เพราะนั่นคือสิ่งที่เธอมั่นใจว่ามันดีที่สุดแล้ว (สำหรับนุ้ยที่ไม่มีความจำเกี่ยวกับท๊อป ก็คงไม่ยากอะไรที่จะบอกเลิก แต่เธอก็ไม่ละเลยและตัดสินใจบอกเลิกทันที)

จากการสัมภาษณ์ (หรือจับผิด) เด่น เพียงแค่ครั้งแรกๆ นุ้ยก็รับรู้ได้แล้วว่า เด่นคือคนที่สนใจความเป็นไปทุกอย่างของเธอ เธอถึงขั้นจำนนว่าจะมีเรื่องไหนบ้างเกี่ยวกับตัวเธอ ที่เขาไม่รู้ เธอสารภาพรักให้คนดูฟัง ว่าเธอยอมรับเด่นจริงๆ โดยการพูดว่า เธอนึกออกแล้วว่าเธอรักเขาได้ยังไง (ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้นึกออกจริงๆ มันไม่เคยเกิดขึ้นจริง แต่มันคือความรู้สึกของเธอในตอนนั้น)

ในฉากที่นุ้ยรู้ตัวแล้วว่า ตัวเองจะลืมเหตุการณ์ทั้งหมดในวันนี้และคาดคั้นให้เด่นรับปาก ว่าพรุ่งนี้จะมาบอกความจริงกับนุ้ยในอนาคต เด่นรับปากแต่นุ้ยก็รู้ได้ทันทีว่าเขาโกหก และจะไม่เดินมาเล่าให้เธอฟัง ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง เธอรู้ว่า นุ้ยในวันพรุ่งนี้อาจจะไม่เชื่อเขา เธอจึงคุยกับนุ้ยในวันพรุ่งนี้ผ่านโทรศัพท์ เหตุการณ์นี้ตอกย้ำว่า เธอตระหนักแล้วว่าใครรักเธอมากที่สุด และเธอก็รักเขาด้วย เธอจึงเตือนนุ้ยในวันพรุ่งนี้ ว่าต้องให้โอกาสเขานะ (ดูไหวพริบของหญิงสาวคนนี้สิครับ)

นุ้ยตอนที่อยู่กับท๊อป ดูเหมือนจะมีความสุข แต่ก็ต้องคบกันแบบลับๆ ล่อๆ ผิดกับนุ้ยที่อยู่กับเด่น ที่รอยยิ้มออกมาจากความรู้สึกจริงๆ เสียงหัวเราะที่สดใสเหมือนเด็กๆ ได้เป็นตัวของตัวเอง ผมว่าใครๆ ก็ดูออกครับ ว่ากับความสุขตอนที่อยู่กับคนที่ทำให้เรามีความสุข (ตอนนุ้ยอยู่กับท๊อป) มันดูเป็นความสุขแบบผู้ใหญ่ๆ กับ ความสุขตอนที่อยู่กับคนที่ทำให้เราได้เป็นตัวเอง (ตอนนุ้ยอยู่กับเด่น) มันดูเป็นความสุขแบบเด็กๆ อย่างในมันสุขกว่ากัน มันชื่นใจกว่ากัน มันอิ่มกว่ากัน

ฉากที่ชอบ

- ตอนที่เด่นกระวนกระวายกับการหารถไฟเพื่อนั่งไปเทศกาลน้ำแข็ง แต่เนื่องจากมีพายุหิมะหนักมากทำให้รถไฟหยุดวิ่ง นุ้ยเองจำอะไรไม่ได้ เลยไม่ได้รู้สึกอยากไปมากนัก เขาปลอบเด่นว่า ไว้มาใหม่ก็ได้ ปีหน้าก็มี แล้วเด่นก็หลุดออกมาว่า "แต่ผมมีแค่วันนี้วันเดียว" สำหรับเด่นวันนี้มันมีค่ากับเขามากๆ มันเหมือนฝันที่เขารู้ว่าต้องตื่น เมื่อยังอยู่ในช่วงเวลาฝัน เขาก็อยากทำให้มันเป็นจริงแม้จะในความฝันก็ตาม

- ฉากที่เด่นและนุ้ยยืนอยู่หน้าปราสาทน้ำแข็งแกะสลัก มีไฟหลายๆ สีส่องลงบนน้ำแข็งสวยงาม หลังจากชื่นชมความงามแล้วนุ้ยก็พูดขึ้นมาว่า "ไม่รู้ว่าคนทำจะรู้สึกยังไง ทำก็ยาก พรุ่งนี้มันก็ละลายแล้ว" ซึ่งมันเป็นคำถามที่ล้อกับ theme หลักของหนังเลย ผมมีคำตอบของผมเองในใจ และก็คิดว่าคำตอบน่าจะตรงกับเด่นชัย เด่นชัยในเรื่องไม่ได้ตอบอะไรออกมาหรอกครับ แต่ความรู้สึกของเขาถูกอธิบายไว้แล้วในฉากก่อนหน้านี้ด้วยประโยค "แต่ผมมีวันนี้แค่วันเดียว"

- ฉากสวมแหวนผู้รู้สึกซึ้งนะ แต่ซึ้งเพราะภาพในหัวผมมันคือฉากสวมแหวนล่องหนในเรื่อง Always ภาคสอง กับฉากนางเอกในเรื่องนั้นยกแหวนล่องหนขึ้นมาส่องดู สรุปว่าฉากนี้ทำให้ผมซึ้งเพราะมันทำให้ผมนึกถึงฉากซึ้งในหนังอีกเรื่อง ไม่ได้ซึ้งไปกับฉากในหนังเรื่องนี้

- ตอนที่นุ้ยรู้ความจริงทั้งหมด รวมถึงเรื่องที่เด่นขอพรให้ได้เป็นแฟนกัน 1 วัน นิสัยช่างซักของนุ้ย ทำให้เธอสงสัยว่า ทำไมขอแค่วันเดียว เพราะพรุ่งนี้เธอก็ลืมหมดแล้ว เด่นตอบทันควันว่า "แต่ผมไม่ลืมนี่ครับ" เออ มันคือความต้องการที่ไม่ได้อยากครอบครองหรอก เพราะเจียมตัวไง แค่ได้จดจำวันเวลานี้ไว้

- ดราม่าช่วงท้าย ที่นุ้ยฟูมฟายคุยกับตัวเองในอนาคต "วันนี้วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ฉันได้อยู่กับคนที่รักฉันมากที่สุด เขาคือผู้ชายคนนี้ นุ้ย ถ้าเขาเข้ามาคุยกับแก แกต้องให้โอกาสเขานะเว้ย"

- ผมเริ่มเดาฉากจบไว้ ช่วงท้ายๆ หนัง ว่าจะ happy ending มั้ย ผมลุ้นให้มันจบแบบไม่ happy โลกสวย เพราะผมจะเสียดายอารมณ์ที่หนังปูไว้มาทั้งเรื่อง มันเป็นเรื่องของคนที่แอบรัก มันควรจะจบไปแบบนั้น ถ้าจบแบบโลกสวยผมจะตัดสินมันว่าเป็นแค่เรื่องแต่ง แต่ถ้ามันจบแบบสมเหตุสมผล ผมจะอินกับหนังในฐานะที่เป็นเรื่องราวของเพื่อนมนุษย์คนนึง ซึ่งผมว่าอย่างหลังมันลุ่มลึกกว่ามาก มันทำให้เกิดการคุยกับตัวเอง ตั้งคำถาม หาคำตอบ และผู้กำกับก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง


อื่นๆ

หนังมีส่วนที่ทำให้ผมสะดุดในจุดใหญ่ๆ อยู่สองสามจุด คือ

1. อยู่ดีๆ ตัวละครก็พูดขึ้นมาว่า เหตุการ์ในเรื่องเดินมา 3 ปีแล้ว ทั้งๆ ที่ผมตั้งใจดูและตามเรื่องมาตลอด ยังเข้าใจอยู่เลยว่า นุ้ยเป็นน้องใหม่แผนก marketing ไม่คิดว่ามันผ่านไปแล้ว 3 ปี (อันนี้ผมอาจจะตามไม่ทันเอง)

2. หนังกำหนดเงื่อนไขในการลืมความจำระยะสั้น แต่อาการของนุ้ยคือ ลืมเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นใน 3 ปี ซึ่งผมว่า 3 ปี มันนานเกินกว่าจะเป็นความจำระยะสั้นทั้งหมด (ก็อีกแหละว่า ผมอาจจะตีความเงื่อนไขนี้แคบเกินไป)

3. สำหรับผมมันไม่ make sense เลย ที่เด่นชัย กับท๊อป จะแต่งตัวเหมือนกันทุกอย่าง ในฉากเล่นสกีฉากแรก เพราะพื้นเพของ 2 คนนี้ต่างกันมาก รสนิยมไม่น่าจะมาชนกันได้ขนาดนี้ เพียงเพื่อจะได้มีฉากที่นุ้ยเข้าใจผิดว่าเด่นคือท๊อป ซึ่งฉากนี้ผมว่าก็ไม่ได้มีนัยยะอะไรเป็นพิเศษขนาดจะต้องเอามาแลกกับความไม่สมจริงในจุดนี้

ส่วนที่ผมคิดว่าเจ๋งก็คือ การที่หนังวางเงื่อนไขเรื่องการลืมความจำ คือ นอกจากอาการจะมีแค่ 1 วันแล้ว ยังมีการผูกเงื่อนไขเพิ่มเข้าไปว่า พอพรุ่งนี้ความจำกลับคืนมา ส่วนของ 1 วันนี้ก็จะหายไปด้วย ซึ่งมันกลายเป็นปัจจัยหลักในการเดินเรื่อง ในการตัดสินใจต่างๆ ของตัวละครไปเลย

Comments

Popular posts from this blog

Harry Potter and the Philosopher's Stone: จงแสดงวิธีทำ ปริศนาน้ำยากันไฟ

Kimi no Na wa: timeline explained